เรื่องราวดังกล่าวได้มาจากการวิเคราะห์บทเรียนจากอดีตของการปฏิบัติภารกิจของกองทัพประเทศสหรัฐอเมริกาในการปฏิบัติภารกิจทางอากาศในสงคราม ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม จนถึงสงครามอ่าว หรือ Gulf War ทฤษฎีแนวคิดและหลักปฏิบัติต่างๆ จึงถูกนำมาใช้ผ่านสถานการณ์ของการปฏิบัติภารกิจการบินทางทหารเพื่อค้นหาบทพิสูจน์ที่ว่า “ความปลอดภัยสามารถไปด้วยกันกับการปฏิบัติภารกิจได้หรือไม่” และสิ่งใดคือเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างความปลอดภัยกับภารกิจให้แยกออกจากกันตามความคิดของคนหลายคน รวมทั้งความคิดของผู้บังคับบัญชาของกองทัพสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้น
กรณีศึกษาจากกองทัพประเทศสหรัฐอเมริกาบทเรียนจากอดีตของสงครามความขัดแย้งในแนวคิดระหว่างความปลอดภัยทางการบินกับภารกิจการรบทางอากาศในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในอดีตที่ผ่านมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเกาหลี สหรัฐอเมริกามีแนวคิดที่ว่า นี่คือสงครามและคือการรบจริง ดังนั้นต้องปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด แม้แต่ “ความปลอดภัย” ในยุคนั้นสหรัฐอเมริกามีแนวความคิดที่ว่าเรามีคนอีกมากมายที่รอสมัครเป็นนักบิน เรามีโรงงานผลิตเครื่องบินที่สามารถผลิตเครื่องบินเข้าสู่การรบ “การปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จคือสิ่งสำคัญที่สุด”
“ถ้าเป็นสงครามการเอาชนะจากการรบคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ดังนั้นผลจากแนวคิดภารกิจสำคัญที่สุด หรือ Mission First แนวคิดแบบสุดโต่งนี้ส่ง ผลให้คู่มือด้านความปลอดภัยทางการบินจึงไม่ได้ใช้ประโยชน์และถูกเก็บเข้าลิ้นชัก รวมทั้งการดำเนินการด้านความปลอดภัยต่างๆ จึงถูกมองข้ามไป เพราะทุกคนมุ่งเน้นกับผลสำเร็จของภารกิจจนลืมทุกอย่าง “เมื่อทุกคนคิดว่านี่คือการรบกองทัพไม่จำเป็นต้องมีความปลอดภัยอีกต่อไปในภารกิจการรบ”
“เพราะอย่างไร การรบก็ต้องมีการสูญเสีย”
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายจากแนวคิดที่ผิดพลาดการมุ่งที่ภารกิจอย่างเดียวในสถานการณ์การรบ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ “ความสูญเสียที่เกิดขึ้น” อัตราการสูญเสียอากาศยานจากอุบัติเหตุในการฝึกสูงกว่าอัตราการสูญเสียจากการถูกทำลายในสถานการณ์รบ จะเห็นได้จากในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สูญเสียนักบินและอากาศยานจากอุบัติเหตุในการฝึกบินสูงกว่าอัตราการสูญเสียอากาศยานในสมรภูมิรบ
การสูญเสียอากาศยานจากการรบ เป็นสิ่งที่ได้คาดหวังไว้ก่อนแล้ว และสามารถที่จะยอมรับได้ แต่การสูญเสียอากาศยานจากอุบัติเหตุจากการฝึก ได้สร้างงานด้านการสอบสวนหาสาเหตุของอากาศยานอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นงานทางธุรการและเอกสารต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยตามแนวทางการปฏิบัติงานของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกานั้น การสูญเสียอากาศยานระหว่างการรบจากการยิงตกจากภาคพื้นหรือจากการต่อสู้กันระหว่างเครื่องบินขับไล่ เป็นความสูญเสียที่ไม่ต้องมีการดำเนินการด้านธุรการมากมาย หรือเรียกว่าจำหน่ายสูญเสียจากการรบ แต่การสูญเสียอากาศยานจากอุบัติเหตุเป็นการสูญเสียที่ต้องมีการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุซึ่งต้องใช้เจ้าหน้าที่การดำเนินการด้านเอกสารและงบประมาณมากมายในการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุ
สิ่งสำคัญที่สุดคือความสูญเสียจากอุบัติเหตุมีผลลัพธ์ความรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้ ทั้งความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน อากาศยาน รวมทั้งความสูญเสียขวัญ กำลังใจ รวมถึงความสูญเสียอื่นๆ ที่เกิดตามมาทั้งความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ และที่สำคัญคือความสูญเปล่าโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาจากภารกิจการรบเลยแม้แต่น้อย
“เมื่อทราบว่าคนที่เขารักตายตั้งแต่ยังไม่ไปรบ”
การเปลี่ยนแปลงสงครามเวียดนามจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดเรื่องความปลอดภัย
สงครามเวียดนามจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงในการนำเอาความปลอดภัยมาใช้ร่วมกับการปฏิบัติภารกิจระหว่างสงครามเวียดนาม แนวความคิดนี้เริ่มที่จะเปลี่ยนไป บทเรียนที่ผ่านมาจากความสูญเสียทำให้กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาต้องกลับมาทบทวนแนวคิดที่ว่านี่คือสงคราม ความปลอดภัยเก็บใส่ลิ้นชัก กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาเริ่มที่จะดำเนินการกับจำนวนของความสูญเสียจากอากาศยานอุบัติเหตุและสามารถที่จะปฏบัติการรบไปในเวลาเดียวกัน นั่นคือได้มีการนำเอาการบริหารจัดการความปลอดภัยทางการบินเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจการรบในสงครามเวียดนาม สงครามเวียดนามได้มีการนำเอานายทหารนิรภัยมาประจำอยู่ในกองกำลังการรบเพื่อเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่หัวหน้าหน่วยงานในการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จอย่างปลอดภัย
จากการนำเอาการบริหารจัดการความปลอดภัยมาใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสถานการณ์สงคราม ผลลัพธ์ของมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางบวกได้อย่างน่าทึ่ง นั่นคืออัตราของความสูญเสียที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในสงครามเวียดนาม ประเทศสหรัฐอเมริกาสูญเสียอากาศยาน 7,000 เครื่อง โดยเป็นการสูญเสียจากการปฏิบัติภารกิจการรบ (Combat Loss) ร้อยละ 47 และสูญเสียจากการปฏิบัติภารกิจอื่น รวมทั้งการฝึกซึ่งเป็นเรื่องของความปลอดภัยร้อยละ 53 ซึ่งเป็นอัตราการสูญเสียที่มีอัตราใกล้เคียงกัน
จากบทเรียนกรณีศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเห็นได้ว่าการบริหารจัดการความปลอดภัยทางการบิน หรือการนำเอาแนวทางการปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยมาใช้ในสถานการณ์สงคราม ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องการความสำเร็จของภารกิจอย่างสุดขั้ว สามารถทำให้อัตราการเกิดอากาศยานอุบัติเหตุและความสูญเสียลดลงในระดับที่น่าพอใจ และใกล้เคียงกับอัตราการสูญเสียอากาศยานจากการรบ
บทเรียนที่ผ่านมาก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตความสำเร็จใน Gulf War
บทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้กองทัพสหรัฐอเมริกาทราบว่า ความจริงที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าสามารถรักษาระดับมาตรฐานความปลอดภัยในยามสงบได้มันก็จะสามารถใช้การได้ดีเท่าเทียมกันในสถานการณ์การรบได้เช่นเดียวกัน การนำเอาการบริหารจัดการความปลอดภัยมาดำเนินการทั้งในสถานการณ์ปกติ และที่สำคัญต้องนำเอาการบริหารจัดการมาปฏิบัติเช่นเดียวกันในสภาวะสงคราม ในการปฏิบัติภารกิจของการรบที่ต้องการทั้งความสำเร็จของภารกิจและความปลอดภัย
เราจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นจากสงครามอ่าว (Gulf War) ที่แสดงถึงพัฒนาการที่ชัดเจน อัตราการเกิดอากาศยานอุบัติเหตุของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ไม่ใช่การสูญเสียจากการปฏิบัติภารกิจน้อยกว่าอัตราการสูญเสียจากการรบหรือการปฏิบัติภารกิจ
ความสำเร็จที่เห็นได้อย่างชัดเจนนี้เป็นผลลัพธ์จากการบริหารจัดการความปลอดภัยทางการบินอย่างที่มีประสิทธิภาพของการปฏิบัติภารกิจในสงคราม Gulf War ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกานั่นเอง
นับจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อัตราการเกิดอากาศยานอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหารลดต่ำลงมาก ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพของความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจทางทหารแลประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความปลอดภัย
มุมมองของ Richard Wood ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทั้งการบินทางทหารและการบินพลเรือนความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า “ความเสี่ยง”
ในมุมมองของ Richard Wood ผู้เขียนตำรา Aviation Safety Program Management Handbook ได้กล่าวว่า “ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในการฝึกปฏิบัติภารกิจการบิน ซึ่งเป็นผลจากบทเรียนที่กองทัพสหรัฐอเมริกาได้รับจากสงครามเวียดนาม การฝึกปฏิบัติภารกิจการบินจะฝึกให้ใกล้เคียงกับภารกิจการรบจริง ซึ่งเกิดจากแนวความคิดใหม่ที่ว่า กิจกรรมอันตรายต่างๆ จากภารกิจการฝึกที่ใกล้เคียงกับการปฏิบัติภารกิจรบจริง สามารถปฏิบัติให้ปลอดภัยได้ ถ้าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นสามารถถูกค้นพบและระบุให้ชัดเจน ก็จะทำให้ความเสี่ยงนี้ลดลงได้ซึ่งแนวความคิดนี้เป็นไปตามทฤษฎีการบริหารความเสี่ยงในการปฏิบัติภารกิจ ภารกิจการเติมน้ำมันทางอากาศระหว่างเครื่องบินเติมน้ำมันทางอากาศกับเครื่องบินรบ หรือ เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แต่ภารกิจนี้สามารถปฏิบัติตามตารางการปฏิบัติประจำที่กำหนดไว้ และสามารถทำได้อย่างปลอดภัย”
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกเพิ่มเข้ามาสำหรับการปฏิบัติภารกิจการบินทั้งในทางทหารและทางพลเรือน ขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามาในการควบคุมความเสี่ยง
กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติภารกิจทั้งในภารกิจการบินและภารกิจภาคพื้น เช่นการซ่อมบำรุงอากาศยาน มาจากทฤษฎีการบริหารความเสี่ยงในการปฏิบัติภารกิจ หรือ Operation Risk Management : ORM ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สามารถใช้ได้อย่างแท้จริง กระบวนการและขั้นตอนในการปฏิบัติเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาจากผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาในด้านความปลอดภัย และที่สำคัญก็คือ “คำแนะนำทางด้านความปลอดภัยจากผู้จัดการด้านความปลอดภัย หรือ Safety Manager”
บทสรุป
ภารกิจและความปลอดภัยทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญเท่าเทียมกัน และ “ไม่สามารถแยกออกจากกันได้” ไม่มี Safety first และเช่นเดียวกัน ไม่มี Mission first เพราะหากมีความว่า First ย่อมหมายความว่า คุณพยายามแยก Safety ออกจาก Mission โดยระบุว่าสิ่งใด First หรือมีความสำคัญที่สุด ซึ่งทั้งหลักการและความเป็นจริงทั้งสองสิ่งนี้สำคัญเท่าเทียมกันและไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่ากัน ในทุกๆ ขั้นตอนของการปฏิบัติภารกิจจะต้องมีความปลอดภัย เพราะความปลอดภัยคือพื้นฐานที่เป็น“ตัวบอกความสำเร็จของภารกิจ” ถ้าอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็หมายความว่าภารกิจไม่สำเร็จและทุกอย่างล้มเหลว
“ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องความปลอดภัยควบคู่ภารกิจจึงทำให้เส้นที่กั้นระหว่างความปลอดภัยและภารกิจหายไป และทำให้ภารกิจและความปลอดภัยมาบรรจบกันและไปด้วยกัน”
ถ่ายทอดสู่การบินเชิงพาณิชย์
แนวคิดความปลอดภัยมาพร้อมภารกิจสามารถใช้ทั้งในการบินทางทหารคือการปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จอย่างปลอดภัย รวมทั้งใช้ในการบินพลเรือนและการบินเชิงพาณิชย์เช่นเดียวกัน
การบินเชิงพาณิชย์ที่มีภารกิจในการนำผู้โดยสารหรือสินค้าจากสนามบินต้นทางไปยังสนามบินปลายทางได้อย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย นำมาซึ่งรายรับและกลายเป็นผลกำไรของสายการบินและบริษัท รวมทั้งเป็นเงินปันผลสู่ผู้ถือหุ้นจึงตอบโจทย์ความปลอดภัยคู่กับภารกิจ การบริหารจัดการความปลอดภัยควบคู่กับการบริหารจัดการธุรกิจการบินจึงเป็นแนวทางการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในการบริหารธุรกิจการบินท่ามกลางสภาวการณ์ของการแข่งขันในปัจจุบัน
บทความ : น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์